6 ส.ค. 2562
5 ส.ค. 62 เสด็จไปทรงติดตามงานโครงการกำลังใจฯ ณ นครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 เวลา 13.45 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จไปทรงติดตามงานการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจฯ ณ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ตำบลนาพรุ อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช เฝ้ารับเสด็จ
โอกาสนี้ ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร “หลารวมใจ” ทอดพระเนตรภายในอาคาร “หลารวมใจ” จากนั้น เสด็จไปยังบริเวณด้านหน้าอาคารทรงปลูกต้นไม้ (ต้นรวงผึ้ง) จำนวน 1 ต้น แล้วเสด็จเข้าสู่แดนหญิง เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
เสด็จเยี่ยมชมห้องแม่และเด็ก ทอดพระเนตรการสาธิตฝึกวิชาชีพ และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ต้องขังหญิงเพื่อสอบถามปัญหาและความต้องการ
จากนั้น เสด็จเข้าสู่สถานพยาบาลแดนชาย ทอดพระเนตรสถานพยาบาล และเยี่ยมผู้ต้องขังที่ป่วย พระราชทานของเยี่ยมให้ผู้แทนผู้ต้องขังที่ป่วย ก่อนเสด็จเวทีกิจกรรม ประทับพระเก้าอี้ พระราชทานของที่ระลึกให้แก่ตัวแทนผู้ต้องขังชายและหญิง ทอดพระเนตรการแสดงของผู้ต้องขัง ทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินในพื้นที่ สมควรแก่เวลา เสด็จกลับ
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้เสด็จมาทรงเปิดโครงการกำลังใจฯ ณ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 และทรงเปิดกิจกรรม “สร้างกำลังใจ...สู่เมืองคอน” ปัจจุบันเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เป็นเรือนจำที่ควบคุมผู้ต้องขังชายและหญิง มีผู้ต้องขังทั้งสิ้น 7,129 คน แบ่งเป็นผู้ต้องขังหญิง จำนวน 1,073 คน ผู้ต้องขังชาย จำนวน 6,056 คน ผู้ต้องขังต่างชาติ 14 คน เด็กติดผู้ต้องขัง 6 คน และผู้ต้องขังตั้งครรภ์ 1 คน
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ความสนพระทัยในการดูแลผู้ต้องขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ต้องขังที่มีความเจ็บป่วย และสืบสานพระราชกรณียกิจ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ในการทรงเป็นทูตสันถวไมตรีของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ การดำเนินงานสถานพยาบาล ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช มีผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ HIV/AIDS จำนวน 118 คน แบ่งเป็นผู้ต้องขังชาย จำนวน 84 คน และผู้ต้องขังหญิง จำนวน 34 คน ผู้ต้องขังที่ติดเชื้อได้รับบริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน