วันที่ 10 เมษายน 2566 พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ ประจำพระองค์ 908
รองประธานคณะกรรมการกองทุนกำลังใจฯ และคณะกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตาม ผลการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจฯ ณ เรือนจำจังหวัดสุโขทัย โดยประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสุโขทัย และผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสุโขทัย รวมถึงประธานหอการค้าจังหวัดสุโขทัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุโขทัย และสถานประกอบการภาคเอกชนในจังหวัดสุโขทัย ซึ่งผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสุโขทัย กล่าวถึง การทำ MOU ร่วมกับวิทยาลัยสารพัดช่าง เพื่อเพิ่มคุณวุฒิให้ผู้ต้องขัง โดยให้การศึกษาจนจบ ปวช.และปวส. ในปี 2565 มีผู้ต้องขังได้ทุนจากกองทุนกำลังใจฯ จำนวน 10 คนและจากการติดตาม พบว่า ยังประกอบอาชีพสุจริต และปี 2566 ได้ขอทุนจากกองทุนกำลังใจฯ จำนวน 9 ราย มีผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำประมาณร้อยละ 7 นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสุโขทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องขังประสบความสำเร็จ คือ ต้องให้ผู้ต้องขังกำหนดเป้าหมายชีวิตของตนเอง และมีภาคเอกชนหลายแห่งที่รับผู้ต้องขังเข้าทำงาน
จากนั้น พลอากาศเอกสมคิด สุขบาง ได้กล่าวถึง แนวทางของคณะกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ว่า ได้มีการ Matching ตำแหน่งงานให้ผู้ต้องขัง โดยจะเน้นที่ผู้ต้องขังหญิง แต่หากมีผู้ต้องขังชายก็อาจจะให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีไป และสำหรับเรื่องผลิตภัณฑ์กำลังใจที่ได้มาตรฐาน OTOP ขอฝากรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ให้ช่วยเผยแพร่และเปิดช่องทางในการนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายในงานต่างๆ ของจังหวัด รวมถึงขนม อาหาร และเครื่องดื่ม จากร้าน Inspire ขอฝากรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยให้สนับสนุนขนมและเครื่องดื่มของเรือนจำ เป็น set box เพื่ออาหารว่างในการประชุมของส่วนราชการในจังหวัด
นอกจากนี้ ประธานหอการค้า กล่าวว่า การนวดแผนไทยและสปา เป็นอาชีพที่ดีและไม่ต้องลงทุนมาก จึงควรฝึกฝนระหว่างอยู่ในเรือนจำ และพาผู้ต้องขังที่ได้รับการฝึกไปนวดสาธิตในการประชุมของหอการค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคม และเห็นควรส่งเสริมให้ผู้ต้องขังฝึกอาชีพการดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งยินดีที่จะสนับสนุนให้มีการอบรมต่อเนื่องจาก 70 ชั่วโมง โดยยินดีประสานกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามให้มาช่วยทำหลักสูตร
จากนั้น ประธานสภาอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้รับงบประมาณในโครงการทำรถลากโซลาร์เซลล์ และปัจจุบันขาดแคลนช่างเชื่อม ซึ่งยินดีจะส่งงานมาให้ผู้ต้องขังทำในเรือนจำ อีกทั้ง ควรพิจารณาในการพัฒนาทักษะให้ผู้ต้องขังที่ผ่านการอบรมช่างเชื่อมเบื้องต้น (จำนวน 52 คน) เพื่อให้ได้รับใบประกาศนียบัตร ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการไปทำงานต่างประเทศได้ โดยผู้ประกอบการภาคเอกชน ได้แก่ ผู้บริหารร้านบ้านแบบบ้านป้าย กล่าวว่า ยินดีรับ ผู้พ้นโทษ ทุกคนทุกอาชีพไปทำงาน เพราะว่าผู้ต้องขังมีฝีมือและสามารถทำงานได้ดี เพียงแต่สังคมภายนอกไม่รับทราบ ซึ่งพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า กรณีการ Up Skill ช่างเชื่อม เห็นควรจำแนกผู้ต้องขัง 52 คน ว่ามีผู้ต้องขังจะพ้นโทษภายในปี 2566 จำนวนเท่าใด และหาตำแหน่งงานให้ทำภายหลังพ้นโทษ และสำหรับกรณี ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ หลังปี 2566 อาจวางแผนร่วมกับกรมราชทัณฑ์และกองทุนกำลังใจฯ ในการอบรมเพื่อการพัฒนาทักษะและได้รับใบประกาศนียบัตร
ในช่วงบ่าย คณะกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ได้ดูงานภายในเรือนจำทั้งแดนชายและหญิง ประกอบด้วย ช่างเชื่อม เบเกอรี่ เสริมสวย งานฝีมือปักผ้า งานถักโครเชต์ จากนั้นพบปะพูดคุยกับผู้ต้องขังชายและหญิง รวมถึงคนต้นแบบ จำนวน 2 คน คือ น้องเกด ฐิติวิมล ประกองอาชีพ เปิดร้านขายอาหารและก๋วยเตี๋ยว และได้รับทุนในการซ่อมแซมร้าน และน้องเลดี้ วราภรณ์ ประกอบอาชีพ ดูดวง และขายล็อตเตอรี่
