โครงการ “เสริมกำลังใจ เติมพลังชีวิต” เพื่อผู้ต้องขังหญิง ณ เรือนจำกลางราชบุรี จังหวัดราชบุรี
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2568
กองพัฒนานวัตกรรมการยุติธรรม
ได้จัดโครงการ “เสริมสร้างกำลังใจ เติมพลังชีวิต” เพื่อผู้ต้องขังหญิง ณ เรือนจำกลางราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ดวงตา ปาวา และ ดร.อันธิฌา แสงชัย ได้มาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้ต้องขังหญิง จำนวน 20 คน
การอบรมในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 มีกิจกรรมดังนี้
1. กิจกรรมการแนะนำตัว
วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมโครงการแนะนำชื่อ ภูมิลำเนา จากนั้นได้นำโปสการ์ดออกมาให้ผู้เข้าร่วมโครงการดูรูปในโปสการ์ดแล้วเลือกรูปที่สะท้อนความเป็นตัวเองมากที่สุด จำนวน 2 - 3 รูป จากรูป 2 -3 รูปที่เลือกมานั้น ให้เลือกเพียง 1 รูปที่เป็นตัวเองมากที่สุด จับคู่แล้วผลัดกันเล่าว่าทำไมถึงเลือกรูปนี้ให้เพื่อนฟัง นั่งล้อมวงกลุ่มใหญ่บอกเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกรูปนี้
2. กิจกรรมวิเคราะห์ตนเอง
วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมโครงการนั่งล้อมวงเป็นวงกลม วาดรูปในกระดาษ A4 เพื่อแนะนำตัวเองให้เพื่อนรู้จัก ผ่านกิจกรรม “ชีวิตของฉัน” เมื่อวาดเสร็จแล้ว จับคู่ผลัดกันเล่าให้เพื่อนฟังว่ารูปที่วาดสะท้อนถึงตัวตนอย่างไรบ้าง แลกเปลี่ยนความรู้สึกของภาพที่ตนวาดกับเพื่อน รอบที่สองสลับคู่ อธิบายรูปที่วาดและรูปที่เลือกจากกิจกรรมแรกให้เพื่อนฟัง สลับคู่อีกสองครั้ง และให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนนำผลงานที่วาดและรูปที่เลือกพูดสะท้อนตัวตน ความรู้สึก แลกเปลี่ยนกันในกลุ่มใหญ่
บอกความรู้สึกที่ได้เห็นรูปที่ตัวเองวาดในกระดาษผ่านคำที่บ่งบอกตัวตนของตัวเอง เขียนลงด้านหลังรูปวาด
โดยทั้งสองกิจกรรมข้างต้นนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการทำความรู้จักระหว่างกันมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนความรู้สึก ทำให้ได้รู้เรื่องราวชีวิตของกันและกัน
3.กิจกรรมค้นหาพลังภายใน
(ศิลปะบำบัด) วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมโครงการนำรูปที่วาดจากกิจกรรมวิเคราะห์ตนเอง มาแปะลงในกระดาษA3 และให้วาดภาพขยายออกในสิ่งที่คิดว่าอยากให้เป็น ความหวัง ความฝัน สิ่งที่อยากมี สิ่งที่อยากจะทำในอนาคต หลังจากนั้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการนั่งล้อมวงกลุ่มใหญ่พูดนำเสนอภาพที่ได้วาดจากกิจกรรมข้างต้น วิทยากรให้นั่งหลับตาจินตนาการถึงภาพที่วาดในกิจกรรมนี้ใส่ความรู้สึก เอาตัวเองลงไปในภาพเพื่อค้นหาพลังในตัวเอง จากนั้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกจากการที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งวัน
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ทางวิทยากรได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “ธาตุ 4” โดยจะประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นการอธิบายบุคลิก ลักษณะนิสัยของคนแต่ละธาตุ ดังนี้
1. ธาตุดิน (ความยุติธรรม โปร่งใส) มีบุคลิกลักษณะนิสัย เช่น เป็นคนเก็บรายละเอียด รอบคอบ ชอบการวางแผน มีวินัย ชอบให้การดูแลผู้อื่น
2. ธาตุน้ำ (มิตรภาพ มนุษยธรรม) มีบุคลิกลักษณะนิสัย เช่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ให้การดูแลใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น มีความอดทน ไม่กล้าตัดสินใจ
3. ธาตุลม (อิสรภาพ ความสร้างสรรค์) มีบุคลิกลักษณะนิสัยเช่น คิดเร็วทำเร็ว ไม่ค่อยมีความอดทน ไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่ โน้มน้าวเก่ง
4. ธาตุไฟ (ความซื่อตรง คำสัญญา) มีบุคลิกลักษณะนิสัย เช่น มีความเผด็จการ ชอบความซื่อสัตย์ รักพวกพ้อง กระตือรือร้นมีเป้าหมายชัดเจน
วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมอบรมทำ “กิจกรรมวิเคราะห์ตนเอง” โดยกิจกรรมนี้จะเป็นการวิเคราะห์ตนเองว่ามีลักษณะนิสัยตามธาตุแบบใด จับกลุ่มผู้เข้าร่วมอบรมที่มีธาตุเหมือนกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนในกลุ่มในหัวข้อทำไมถึงคิดว่าตนเองเป็นธาตุนี้ ชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยดูจากฟลิปชาร์ดธาตุที่วิทยากรจัดเตรียมไว้ให้ และวิทยากรให้ผู้เข้าร่วมอบรมแต่ละคนระบายสีลงใน pie chart แล้ววิเคราะห์ตนเองทั้ง4 ธาตุ ระบายสีแบ่งสัดส่วนของแต่ละธาตุว่าตนเองให้กี่เปอร์เซ็นต์ โชว์ภาพที่ระบายสีพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในกลุ่ม หลังจากนั้นให้ผู้เข้าร่วมอบรมวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของตนเองว่าเป็นธาตุอะไร เมื่อมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในบทบาทต่าง ๆ ผ่านกิจกรรม ”ทบทวนความสัมพันธ์” ได้แก่ บทบาทของลูก, หัวหน้า/พี่, ลูกน้อง, เพื่อน และแฟน/คนรัก ซึ่งธาตุของแต่ละคนก็จะเปลี่ยนไปตามบทบาท โดยกิจกรรมข้างต้นนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมรู้จักตนเอง และเข้าใจถึงลักษณะนิสัย ความแตกต่างของคนรอบข้างเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความแตกต่างนี้เมื่ออยู่ร่วมกันในสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวเองให้เข้ากับบริบทสถานการณ์ต่างๆ และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
การอบรมโครงการในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างดี พร้อมทั้งบอกความรู้สึกที่มีต่อโครงการว่า การเข้าร่วมโครงการนี้ทำให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนมุมมองผู้อื่นใหม่ จากการเรียนเรื่องธาตุทำให้รู้บุคลิก ลักษณะนิสัยของแต่ละธาตุ ในสังคมคนแต่ละคนก็มีบุคลิกลักษณะนิสัยไม่เหมือนกัน
เมื่อเราทราบบุคลิก ลักษณะนิสัยของคนรอบข้างแล้ว เราก็สามารถเปลี่ยนบุคลิกลักษณะนิสัยของตนเองให้สอดคล้องเพื่อลดความขัดแย้งและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข อีกทั้งเป็นโครงการที่เสริมสร้างกำลังใจที่ดีมากๆ ช่วยให้มีพลังในการใช้ชีวิตต่อไป
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการเสนอ “สายด่วนกำลังใจ” เพื่อที่จะช่วยบำบัด รับฟัง ให้คำปรึกษาและให้กำลังใจแก่ผู้ต้องขัง เนื่องจากผู้ต้องขังมีความเครียด ต้องการที่จะหาพื้นที่ระบายความรู้สึกและกำลังใจในการเติมพลังชีวิต