พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา กับการนำ AD มาปรับใช้กับผู้ต้องขัง
ตามที่พระเจ้าหลานเธอฯ ทรงมีพระดำริให้ดำเนินโครงการกำลังใจขึ้น เพื่อดูแล ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังหญิงและเด็กติดผู้ต้องขังเมื่อประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา และได้ประสบความสำเร็จจนกระทั่งได้มีการนำไปสู่การจัดทำมาตรฐานระดับโลก ซึ่งจากพระดำริดังกล่าวที่มีต่อผู้ต้องขังหญิงแล้ว พระเจ้าหลานเธอฯ ยังทรงได้มีพระเมตตาต่อผู้ต้องขังชาย โดยได้มีพระดำริในการที่จะช่วยเหลือ ให้โอกาสผู้ต้องขังชายที่ใกล้พ้นโทษ ให้สามารถมีอาชีพ มีทัศนคติในเชิงบวก และที่สำคัญ ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก โดยน้อมนำแนวทางตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำรงชีวิตของผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ซึ่งเมื่อกรมราชทัณฑ์ได้รับทราบแนวทางพระดำริได้เลือกดำเนินการในลักษณะนำร่องใน 5 พื้นที่ อันประกอบด้วย
1.เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ สังกัดเรือนจำจังหวัดตราด
2.เรือนจำชั่วคราวแคน้อย สังกัดเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์
3.เรือนจำชั่วคราวดอยราง สังกัดเรือนจำกลางเชียงราย
4.เรือนจำชั่วคราวเขาพลอง สังกัดเรือนจำจังหวัดชัยนาท
5.เรือนจำชั่วคราวโคกตาบัน สังกัดเรือนจำจังหวัดสุรินทร์
แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นพระวิสัยทัศน์ในพระเจ้าหลานเธอฯ และความตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือผู้ต้องขังให้มีทางเลือกที่เพิ่มขึ้นและดีขึ้น จึงได้มีพระกรุณาประสานให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้ามาช่วยเหลือโดยนำแนวทางการพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สามารถดำเนินการและประสบผลสำเร็จและเป็นตัวอย่างที่ดีในระดับสากลให้มาร่วมกับโครงการกำลังใจในพระดำริฯ ในการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในเรือนจำ โดยประทานคำแนะนำให้เริ่มที่เรือนจำชั่วคราวดอยราง จังหวัดเชียงราย ดังนั้นกระทรวงยุติธรรม โดยสำนักกิจการในพระดำริฯ จึงได้ประสานให้ทีมนักวิชาการจากศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ามาช่วยดำเนินการร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559 กับผู้ต้องขังจำนวน 48 ราย
และในวันที่ 29 กรกฏาคม 2559 เวลา 13.15 น. พระเจ้าหลานเธอฯ เสด็จมาเป็นองค์ประธานในกิจกรรมการศึกษาดูงานของผู้ต้องขัง ณ โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างผู้ต้องขังกับบุคคลต้นแบบของดอยตุงที่สามารถก้าวข้ามการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและมีอาชีพที่ดี สามารถเลี้ยงตนเองได้ โดยในวันดังกล่าว พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงหลายหน่วยงาน รวมทั้ง มรว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยมี ผศ.ดร.นพ.อภินันท์ อร่ามรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะได้เข้ามาสนับสนุนและเป็นหลักในกระบวนการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ในกิจกรรมดังกล่าว มีการแบ่งกลุ่ม 4 ฐานและให้ผู้ต้องขังได้เรียนรู้จากวิทยากรของดอยตุงและเครือข่ายภาครัฐและเอกชนที่จะมาช่วยดูแลเมื่อพ้นโทษ ซึ่งพระเจ้าหลานเธอฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมในทุกกลุ่ม จากนั้นผู้แทนของผู้ต้องขัง 3 รายได้กล่าวสะท้อนความรู้สึกของตนเองต่อกิจกรรมนี้ ต่อพระเจ้าหลานเธอฯ ซึ่งมีผู้ต้องขังรายที่หนึ่ง กล่าวได้อย่างประทับใจตอนหนึ่งว่า “ดีใจที่ได้เข้าเฝ้า แต่ก็อดรู้สึกเกร็งๆ ไม่ได้ และขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำให้เสื้อสีส้ม (สีสัญลักษณ์โครงการกำลังใจฯ) แปดเปื้อน จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโครงการกำลังใจฯ ตลอดจนกำลังใจจากพระองค์ท่าน ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต”
ผู้ต้องขังอีกรายที่เข้าร่วมโครงการเดียวกัน กล่าวว่า “ก่อนเข้าร่วมโครงการ เคยได้ยินคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงแต่คิดว่าเป็นแค่การปลูกผัก แต่พอมาร่วมโครงการนี้ ก็ได้รู้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่การปลูกผักแต่รวมถึงแนวคิดของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกแขนงและทั้งคนรวยและคนจน แต่คือการรู้จักพอประมาณ มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน ขอบคุณโครงการกำลังใจฯ ที่สร้างตนให้มีสติ พร้อมออกไปใช้ชีวิตปกติข้างนอก”
ภายหลังรับฟังเสียงสะท้อนของผู้ต้องขังแล้ว พระเจ้าหลานเธอฯ ประทานพระโอวาท ใจความ ตอนหนึ่งที่ประทับใจทุกคนในศาลาลีลาวดี ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ความว่า
“ยินดีที่ได้มาพบกับทุกๆ คน ยินดีที่ทุกคนมีกำลังใจ มีจุดหมายและความตั้งใจในอนาคตซึ่งจะเป็นไฟในการสร้างความฝันให้เป็นจริง จากที่คุยๆ กันมาพบว่าหลายๆ คนมีความสามารถทางด้านอาชีพ มีความสามารถต่างๆ กัน ขอให้พัฒนาตรงจุดนี้ หาจุดแข็งของตัวเองให้เจอแล้วจะนำชีวิตไปสู่ความสุข ได้ฟังเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้วรู้สึกดีใจที่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงดีขึ้น ได้เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่าการทำการเกษตร จริงๆ แล้วเศรษฐกิจพอเพียง พอที่ใจ การใช้สติ และวางแผนชีวิต ชีวิตก็ต้องวางแผนก็ต้องประมาณการ เหมือนการค้าขาย ก็ต้องประเมินต้นทุนและคิดดูว่าทำกำไรเท่าไร จะอยู่ได้ไหม ทุกสิ่งทุกอย่างคือการประมาณการ การวางแผนว่าเหมาะสมแก่ตัวเราไหม เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่าให้อยู่อย่างจนๆ ไม่ได้หมายความว่าให้อยู่อย่างไม่อยากได้อะไร แต่ให้คิดก่อนว่ามันควรจะได้ไหม มันคุ้มที่จะได้ไหมแล้วจัดลำดับการใช้ชีวิตให้ดีแล้วเราจะมีโอกาสพลาดน้อยลงแล้ว ผลสุดท้ายเราจะไม่พลาดอีกเลย นี่คือจุดสำคัญ”
นอกจากนี้ ภายหลังกิจรรมดังกล่าวแล้ว พระเจ้าหลานเธอฯ ยังได้เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณา ทบทวนหลักสูตรการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับผู้ต้องขังกับคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม มรว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มล.ดิศปนัดดา ดิศกุล รองประธานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะที่ปรึกษาของสำนักกิจการในพระดำริฯ เจ้าหน้าที่ของสำนักกิจการในพระดำริฯ โดยมี ผศ. ดร.นพ.อภินันท์ อร่ามรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะ เป็นผู้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งผลจากการประชุมทำให้ได้ข้อมูลที่มีสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรการอบรมผู้ต้องขัง รวมทั้งทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงยุติธรรมต้องเน้นและมีความจริงจังและจริงใจในการที่จะช่วยประคับประคองผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกไปแล้ว ให้สามารถทีชีวิตที่ดี ไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับวงจรของยาเสพติดอีก รวมทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้มีการนำแนวทางตามโครงการกำลังใจฯ ไปปรับใช้กับผู้ต้องขังในทั่วประเทศด้วย
*********************************************